การปฏิรูปการปกครองในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ มักเข้าใจและตีความว่า เป็นการสร้างรัฐชาติไทยที่เป็นรัฐประชาชาติหรือ nation-state ขึ้นมาตามแบบอย่างของรัฐสมัยใหม่ทั้งหลายในยุโรปและอเมริกา คุณลักษณะใหญ่ๆ ของความเป็นรัฐชาติ ได้แก่การมีรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของผลประโยชน์ประชาชนและพลเมืองแห่งรัฐนั้นๆ การมีอาณาเขตของรัฐที่แน่นอนดังปรากฏในแผนที่สมัยใหม่ กับการที่ประชากรในรัฐนั้นๆ ซึ่งแม้มีหลากหลายเชื้อชาติและภาษาวัฒนธรรม ก็จะถูกทำให้กลายมาเป็นพลเมืองพวกเดียวกัน โดยมีอุดมการณ์ใหม่ เช่น สิทธิและเสรีภาพของพลเมือง และความเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยในรัฐนั้นๆ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แทนการขึ้นต่อเชื้อชาติ ศาสนาและเผ่าพันธุ์แบบเดิม แต่ที่สำคัญในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ คือการที่รัฐ(สมัยใหม่) ก้าวขึ้นมาเป็นพลังขับดันการเปลี่ยนแปลงในประเทศที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่สังคมหรือภาคประชาชนและชุมชน จินตนาการของชาตินั้นมีพลังและดูเหมือนว่าเป็นความจริงที่มีชีวิตก็เพราะมันรองรับด้วยรัฐและอำนาจรัฐสมัยใหม่นั่นเอง
รูปแบบของรัฐชาติสมัยใหม่ดังกล่าว เกิดมาจากการต่อสู้เพื่อเสรีภาพและสิทธิของประชาชนและชุมชนการเมืองใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้น จุดหมายใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงนี้แสดงออกในปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "การปฏิวัติประชาธิปไตย" ซึ่งหากจะระบุให้ชัดเจนลงไปก็คือ การปฏิวัติประชาธิปไตยกระฎุมพี หรือการปฏิวัติของชนชั้นนายทุน อันเป็นผลมาจากพัฒนาการภายในรัฐนั้นๆ เป็นหลัก พลังการเมืองใหม่มาจากชนชั้นกระฎุมพีและนายทุนต่างๆ ทำลายพันธนาการของระบบฟิวดัลและระบบปกครองแบบกษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ลงไป เช่นการปฏิวัติของอเมริกา (ค.ศ. ๑๗๗๖) และการปฏิวัติใหญ่ฝรั่งเศส (ค.ศ. ๑๗๘๙) ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ก็ได้แก่ กรณีกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ และการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ เป็นต้น
ลักษณะเด่นของการเคลื่อนไหวและต่อสู้ทางการเมืองในข้อแรกนี้ แสดงออกโดยการให้น้ำหนักและความสำคัญไปที่รัฐ การสร้างรัฐและประชาชาติสมัยใหม่ขึ้นมาแทนที่รัฐเก่าที่เป็นเมืองขึ้นหรือกึ่งเมืองขึ้นหรือกึ่งศักดินา ในสมัยนั้น ปัจเจกชนและชุมชนย่อย ๆ เล็ก ๆ ยังไม่ใช่และไม่อาจเป็นจุดหมายของการปฏิวัติเหล่านี้ได้
อีกกระบวนหนึ่งมาจากการต่อสู้เพื่อปลดแอกลัทธิอาณานิคมตะวันตก กล่าวอีกอย่างก็คือได้แก่ กระบวนการและการต่อสู้เคลื่อนไหวเพื่อเป็นเจ้าของอัตลักษณ์ของประชาชนและกลุ่มคนต่าง ๆ การเคลื่อนไหวเหล่านี้แม้เกิดในระยะแรกของการปฏิวัติทางการเมืองประชาธิปไตย แต่ประชาชนหรือกลุ่มคนเหล่านี้ก็ยอมขึ้นต่อขบวนการส่วนกลาง ด้วยมีความเชื่อมั่นว่า หากสร้างรัฐใหม่ได้สำเร็จ พวกตนก็จะได้อิสระและความเป็นตัวของตัวเองไปด้วยโดยอัตโนมัติ เช่น อาเจะห์ ในสมัยที่อินโดนีเซียทำการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชจากดัตช์ ก็ยินดีร่วมกับขบวนการส่วนกลางทุกอย่าง แต่ปัจจุบันก็กำลังต่อสู้เรียกร้องสิทธิปกครองตนเองจากรัฐบาลกลาง เนื่องจากไม่ได้รับความเป็นธรรมและความเสมอภาคในด้านต่าง ๆ อย่างพอเพียงและเหมาะสม
การปฏิรูปของสยามภายใต้การนำของรัชกาลที่ 5 หากมองในบริบทของประวัติศาสตร์โลกสมัยดังกล่าว ก็ต้องพูดว่าเป็นลูกผสม(ลูกครึ่ง)อยู่ในระหว่างสองรูปแบบของสองกระบวนข้างบนนี้ คือมีทั้งกำเนิดมาจากปัจจัยและพลังการเมืองของชนชั้นใหม่ในประเทศ ซึ่งในที่สุดถูกกลืนจากชนชั้นนำตามประเพณีและขบวนการชาตินิยมแบบทางการ อีกด้านก็มีปัจจัยอิทธิพลที่มาจากมหาอำนาจเจ้าอาณานิคมภายนอกบีบบังคับ และทำให้ต้องปรับเอาแนวทางบางอย่างที่ทันสมัยเข้ามาใช้โดยมีจุดหมายที่จำกัด ผลก็คือรัฐชาติสมัยใหม่ของสยาม กลับสร้างระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่เข็มแข็งยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาก่อน พลังการเมืองของชนชั้นกระฎุมพีได้รับการกระตุ้นและก่อตัวขึ้น แต่ก็ไม่สามารถยกระดับพัฒนาให้เป็นพลังการเมืองที่อิสระมีอุดมการณ์และการปฏิบัติของตนเองได้ ในขณะเดียวกันก็ได้สร้างกลุ่มข้าราชการโดยเฉพาะทหารขึ้นมาเป็นพลังต่อรองทางการเมืองระยะผ่านที่จะผ่านอย่างยาวนาน
เป้าหมายทางการเมืองโดยทั่วไป แม้จะอยู่ที่ความเป็นเอกราช แต่ก็เป็นเอกราชของชนชั้นนำมากกว่าที่จะเป็นของราษฎร เพราะรัฐและจินตนาการเรื่องรัฐยังเป็นของชนชั้นนำอยู่ หาได้เป็นของหรือมาจากราษฎรไม่ เนื้อหาของประชาธิปไตยแม้จะพูดกันมาก แต่ก็ถูกหดลงและค่อยหายไปในการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจการนำระหว่างชนชั้นนำเก่ากับใหม่ ระหว่างกลุ่มทหารกับพลเรือน และในที่สุดระหว่างท้องถิ่นกับศูนย์กลาง
หากจับเอาสองข้อใหญ่คือการมีรัฐบาลที่มาจากตัวแทนของประชาชน และการที่พลเมืองเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยแห่งรัฐนั้นๆ โดยไม่ขึ้นต่อปัจจัยอื่นใดแล้ว ก็ต้องกล่าวลงไปว่า การปฏิรูปการปกครองและแม้การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ต่อมา ก็ยังไม่ได้สร้างรัฐประชาชาติไทยที่สมบูรณ์ตามนิยามข้างต้นขึ้นมาเป็นผลสำเร็จไม่ ตรงกันข้ามรัฐไทยในระยะดังกล่าว กลับสร้าง "ชนส่วนน้อย" ขึ้นมาตามชายแดนและในบริเวณที่รัฐบาลกลางไม่อาจบังคับ และทำให้คนส่วนนั้นยอมรับแนวคิดและการปฏิบัติของการเป็นไทย ตามภาพลักษณ์ที่รัฐบาลกลางเชื่อและต้องการเห็นได้
ข้อคิดสำคัญอันหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ รัฐประชาชาติสมัยใหม่ ก่อตั้งขึ้นบนหลักการความเชื่อของความเป็นเอกภาพในวัฒนธรรมและชนชาติ กล่าวคือในสมัยนั้นมีความคิดและเชื่อกันว่า รัฐชาตินั้นสามารถสร้างชุมชนขนาดใหญ่ที่ไม่มีใครรู้จักกันทั้งหมด แต่ก็เชื่อมต่อผูกพันซึ่งกันและกัน โดยผ่านประสบการณ์ในชีวิตประจำวันที่มีร่วมกัน เช่นการอ่านหนังสือพิมพ์ยี่ห้อเดียวกันทั้งประเทศ ฟังเพลงและละครวิทยุเรื่องเดียวกันในเวลาเดียวกันทั้งประเทศ หลงใหลนางเอกและพระเอกคนเดียวกันทั้งประเทศเป็นต้น
นี่คือสิ่งที่เบน แอนเดอร์สันเรียกว่า "กาลอันว่างเปล่าที่เป็นหนึ่งเดียวกัน" (homogeneous empty time) ซึ่งช่วยทำให้จินตนาการของความเป็นชาติเดียวกันในหมู่คนที่ไม่ใช่คนเชื้อชาติศาสนาภาษาเดียวกันสามารถเกิดเป็นจริงขึ้นมาได้ จินตนาการเช่นนี้ทำให้เกิดมีแนวคิดเรื่องเวลาที่เป็นเส้นตรง ซึ่งเชื่อมเอาอดีต ปัจจุบันและอนาคตไว้ อันช่วยทำให้จินตนาการทางประวัติศาสตร์ของอัตลักษณ์ ความเป็นชาติ ความก้าวหน้าและอื่นๆ เป็นจริงขึ้นมาได้
ในทางปฏิบัติ ความคิดเรื่องรัฐประชาชาติสมัยใหม่ดังกล่าวนี้ นำไปสู่ปฏิบัติการทางการเมือง ที่พลเมืองของรัฐมีหน้าที่ในการ "พัฒนาอัตลักษณ์ของพวกเขาตามการปฏิบัติทางการเมืองในรัฐร่วมกัน ไม่ใช่พัฒนาผ่านภูมิหลังทางเชื้อชาติของแต่ละกลุ่ม" เมื่อเป็นเช่นนี้ รัฐชาติจึงสร้างพลเมือง ข้าราชการ กรรมกร และ ครูอาจารย์ที่เป็นสากลหรือทั่วไป
อีกด้านเหนึ่ง เทคโนโลยีสมัยใหม่และระบบเศรษฐกิจทุนนิยมก็ช่วยทำให้พลเมืองแต่ละคน สามารถจินตนาการว่าพวกเขาเป็นสมาชิกของกลุ่มที่ใหญ่กว่าตาเห็นได้ ทำให้พวกเขาสามารถกระทำการอะไรในนามของกลุ่มนิรนามนั้นได้ จินตนาการทางการเมืองเหล่านี้ทำให้พวกเขาก้าวพ้นข้อจำกัดของความคิด และการปฏิบัติตามประเพณีเดิมๆ ลงไปได้
อย่างไรก็ตามมโนทัศน์และความคิดเรื่องรัฐชาติดังกล่าวแล้วนั้น มาบัดนี้ถูกวิพากษ์และวิจารณ์จากการเปลี่ยนแปลงในบรรดารัฐและประเทศทั่วโลก ว่าความเชื่อเรื่องเอกลักษณ์และเอกภาพของเชื้อชาติในรัฐชาตินั้นไม่เป็นความจริง และไม่เป็นผลดีต่อความเป็นชาติของพลเมืองทั้งหลาย การเคลื่อนไหวต่อสู้ของชนชาติและวัฒนธรรมอันหลากหลาย โดยเฉพาะภายหลังการสิ้นสุดยุคสงครามเย็น นำไปสู่การเกิดของรัฐที่เป็นพหุลักษณ์และหลากหลายทางสังคมและวัฒนธรรมมากขึ้น อันจะเป็นทิศทางใหม่ของประสบการณ์การสร้างสังคมประชาธิปไตยต่อไป
ข้อพึงสังวรคือ ต้องไม่ลืมว่ากระบวนการสร้างรัฐชาติที่เป็นประชาธิปไตยนั้น ต้องมีสองส่วนอยู่เสมอ คือ
- ส่วนที่เป็นการปฏิบัติใช้กลไกรัฐของรัฐบาล และ
- ส่วนที่เป็นการเข้าร่วมและตอบสนองของประชาชนทั้งประเทศ การเคลื่อนไหวรูปแบบต่างๆไปจนถึงการประท้วงไม่ว่าในรูปแบบอะไรก็ตาม ที่ไม่ใช่เป็นการใช้ความรุนแรง ก็ต้องถือว่าเป็นการเข้าร่วมสร้างรัฐชาติประชาธิปไตยของประชาชน ไม่ใช่มองแต่เพียงว่าเป็นการทำลายรัฐชาติที่เป็นเอกภาพของผู้นำเท่านั้น
วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
เช ยังไม่ตาย

เช เดิมชื่อ เออเนสโต กูวาร่า แต่สาเหตุที่ได้เรียกเช กูวาร่านั้นคาดว่าเพราะตอนที่เขาขับรถมอไซด์คู่ใจ(notun 500cc)ผ่านซิลี ด้วยคำติดปากของเขาที่ชอบพูดว่า เช ซึ่งในความหมายของชาวอาร์เจนตินาคือ hey สาวๆที่ซิลีจึงเรียกเขาว่า เช และเขาก็นำชื่อนี้มาใช่เรียกกันในกลุ่มปฏิวัติ นั้นคือที่มาของชื่อ เช กูวาร่า
นักรบกองโจรคือชนิดของคนที่เสมือนผู้นำทาง เขาจะต้องช่วยคนจนเสมอ เขาจะต้องมีความรู้พิเศษทางเทคนิค มีวัฒนธรรมและศีลธรรมสูง มีความอดทนยิ่งต่อความทุกข์ทรามาน และความลำบาก มีความสำนึกทางการเมืองสูง.....นี้คือคำกล่าวของเช กูวาร่าหลังจากประสบผลสำเร็จในสงครามปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลบาติสต้าแล้ว ฟิเดล คาสโตร ขึ้นเป็นประธานาธิบดี เช กูวาร่า เหมือนเป็นหมายเลขสองของประเทศ เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และดูแลการเงิน การคลังของประเทศ(ผู้ว่าการธนาคาร)ของคิวบา แต่ด้วยวิญญาณแห่งการปฏิวัติไม่เคยมอดไหม้ไปกับยศฐาบรรดาศักดิ์ เขาลาออกจากคิงบาและคาสโตร พร้อมเพื่อนๆเพื่อไปร่วม สงครามปฏิวัติที่คองโก ในทวีแอฟริกา แต่ล้มเหลว จากนั้นการเดินทางไปประเทศโบลิเวีย เพื่อไปร่วมกับกบฏโบลิเวียทำสงครามปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลโบลิเวียในสมัยนั้น

เชทำตามหลักการที่เขาวางไว้ โดยเมื่อเขาลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองในรัฐบาลคาสโตร เพื่ออกไปเป็นนักรบกองโจรในโบลิเวียนั้น"ผมไม่ได้ทิ้งสมบัติอะไรไว้ให้ภรรยากับลูก ของผม แต่ผมก็ไม่เสียใจ กลับรู้สึกมีความสุขที่มันเป็นไปอย่างนี้"(จดหมายถึงคาสโตร)
จากผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติ ไปเดินป่าอีกครั้ง ระหว่างที่เขารับหน้าที่ตำแหน่งนี้ เขาไม่เคยรับเงินเดือนเลย - การกระทำของเขาเข้าใกล้ศาสดาเข้าไปทุกที
หนึ่งในหลายเหตุผลที่เชต้องกลับเข้าป่าไปอีกครั้งทั้งที่เข้าสู่วัยกลางคนแล้วอีกทั้งยังมีโรคหอบมาตั้งแต่เด็ก คือความไม่สมหวังในการสร้างคิวบา เขาชิงชังการเห็นแก่ตัวและการช่วยเหลืออย่างเสียไม่ได้ที่โซเวีย และประเทศยุโรปตะวันออกมีให้แก่ประเทศที่ด้อยพัฒนาเขาจึงลอกคราบนักการบริหารนักการฑูตของคิวมาซึ่งตัวเองเป็นมาหลายปีเพื่อทำการปฏิวัติอย่างไม่ได้หยุดหย่อนเหมือนเมื่อครั้งหนุ่มๆอีกครั้ง
เชพร้อมสมัครพรรคพวกมิตรร่วมรบเก่าๆรวม17คนเข้าป่าโบลิเวีย เขาประกาศทำศึกกับมหาอำนาจไม่ว่าจะอยู่ในที่ประชุมสหประชาชาติ หรืออยู่ในป่าโบลิเวีย และนี้อาจเป็นสาเหตุความตายของเขา เมื่อการกระทำของเขาทำหน่วยCIAในอเมริกาเสียผลประโยชน์
อวสานของเช กูวาร่าก็มาถึง เมื่อกองโจรของเขานั้นโงดังขึ้นทุกทีจนอาร์เจนติน่า-เปรูต้องปิดพรมแดนสกัดการแพร่ลามของการปฏิวัติโบลิเวีย

แล้ววาระสุดท้ายของเขาก็มาถึงเมื่อเชได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบและถูกทหารรัฐบาลจับได้ กลุ่มของเขาแตกกระจัดกระจาย เชในฐานะเชลยศึกผู้ได้รับบาดเจ็บถูกสั่งฆ่าด้วยการยิงเป้าจนร่างพรุนถูกตัดมือทั้งสองข้างเพื่อตัดการชันสูตรของการมีตัวตนของเขา แล้วนำไปฟังที่ป่าโบลิเวียเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 1967

จบชีวิตของชายวัย39ปี ผู้อัดแน่นพลังความคิดฝัน
วาระสุดท้ายของเขาก็มาถึงเมื่อเขาถูกทหารของรัฐบาลโบลิเวียจับได้ขณะสู้รบทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ เช กูวาร่าเชลยที่ได้รับบาดเจ็บถูกสั่งฆ่าโดยการยิงเป่าจนร่างพรุนและตัดมือของเขาทิ้งทั้งสองข้างเพื่อตัดการพิสูจน์การมีตัวตนของเขา แล้วนำไปฝังไว้ในป่าโบลิเวีย
อาณาจักรศรีวิชัย
อาณาจักรศรีวิชัย
(พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๘)
เมื่ออาณาจักรฟูนันล่มสลายลงในพุทธศตวรรษที่ ๑๑ นั้น ดินแดนทางแหลมทองได้เกิดการตั้งอาณาจักรศรีวิชัย (จีนเรียก ชิลิโฟชิ หรือ คันโทลี หรือโคยิง) ขึ้นภายใต้การนำของราชวงศ์ ไศเลนทร์ มีอาณาเขตครอบคลุมแหลมมลายู เกาะชวา เกาะสุมาตรา ช่องแคบมะละกา ช่องแคบซุนดา และบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย ทำให้อาณาจักรศรีวิชัยสามารถควบคุมเส้นทางค้าขายระหว่างจีนกับอินเดียรวมทั้งอาหรับ เปอร์เซีย และยุโรปได้
อาณาจักรศรีวิชัยนี้มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองปาเล็มบังในเกาะสุมาตราของ อินโดนีเซียขึ้นมาถึงบริเวณแหลมโพธิ์ ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และเมืองท่า(ตามพรลิงค์หรือตำพะลิงค์)ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช มีการพบศิลาจารึกภาษามาเลย์เกี่ยวกับอาณาจักรศรีวิชัยนี้ที่วัดเสมาเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วน เมืองครหิ ในสมัยศรีวิชัยนั้นเป็นเมืองท่าค้าพริก ดีปลีและพริกไทยเม็ด โดยมีต้นหมากต้นมะพร้าวอยู่มาก แต่ก็ยังมีความเชื่ออยู่ว่าเมืองครหินั้นไม่น่าจะใช่เมืองไชยา กล่าวคือ ในหนังสือจู ฝาน จีน ของจีนเจา จู เกวาะ ได้ระบุชื่อเมืองต่างๆที่ขึ้นแก่อาณาจักรซัมฮุดซี หรือชาวกะ มีชื่อเมืองเกียโลหิ ซึ่งยุติชื่อว่าเป็นเมืองครหิ ตรงกับคำที่จารึก(ภาษาเขมร)ครหิที่อยู่บนฐานพระพุทธรูปนาคปรกสำริดองค์ใหญ่ ซึ่งพบอยู่ใกล้วัดเวียง เมืองไชยา ซึ่งเป็นสถานที่แห่งเดียวที่สุมาตราที่สั่งขึ้นมาให้อำมาตย์คลาไน ผู้ครองเมืองครหิจัดการหล่อขึ้นเมื่อพ.ศ.๑๗๒๖ ตรงกับมหาศักราช ๑๑๐๕ จึงมีข้อถกเถียงถึงว่า ครหิ นั้นเป็นการแสดงอำนาจทางเขมรหรือเกาะสุมาตรา ซึ่งน่าจะเป็น ครหิ ที่เกิดขึ้นหลังจาก อาณาจักรศรีวิชัยล่มสลายลงแล้วหรือไปขึ้นอยู่กับเมืองตามพรลิงค์ในพ.ศ.๑๗๐๐ ดังนั้นเมืองไชยานั้นคงจะไม่ใช่เมืองครหิและน่าจะเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยเสียมากกว่าเมืองปาเล็มบัง
เมืองไชยานั้น ได้มีการสร้างเจดีย์แบบมหายาน ให้องค์เจดีย์เป็นรูปสีขระ แปลว่า แบบภูเขา คือเจดีย์ที่มียอดจำนวนมาก ตามคติให้มีพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ เช่น พระพุทธเจ้าพุทธะ พระมัญชุศรี พุทธะ พระญาณิพุทธะ เป็นต้น ซึ่งตรงกับเรื่องราวที่ว่า พระเจ้ากรุงศรีวิชัยให้สร้างไอษฎิเคหะ คือ เรือนอิฐหรือปราสาทอิฐขึ้น ๓ หลัง สำหรับประดิษฐานพระปฏิมาของ ปัทมปาณี วัชรปาณี และมารวิชัย ในพื้นที่เมืองไชยาแห่งนี้ พบว่านอกจากจะสร้างเจดีย์ที่พระบรมธาตุแห่งนี้แล้วยังมี เจดีย์ที่วัดแก้ว ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าแต่ชำรุด และเจดีย์ที่วัดหลง เดิมนั้นเหลือแต่ฐานที่อิฐที่มีลักษณะเดียวกัน พระบรมธาตุไชยาองค์ปัจจุบันนี้ได้รับการบูรณะใหม่ เดิมนั้นเป็นเจดีย์ตั้งอยู่บนอุโมงค์ที่บรรจุหีบศิลาใบใหญ่ใส่พระบรมธาตุและสิ่งของต่างๆ เดิมที่พื้นมีรูระบายอากาศขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ ซม ๒ แห่งต่อมาได้อุดเสีย ต่อมาแม่น้ำพาเอาดินมาถมบริเวณหมู่บ้านเวียงสูงประมาณ ๓ เมตรหรือ ๖ ศอก ส่วนพระเจดีย์นี้จมลงไปในดินประมาณเมตรครึ่ง ต้องขุดแต่งกัน เมืองครหิแห่งนี้หลังจากอาณาจักรศรีวิชัยหมดอำนาจลงก็ถูกทิ้งร้างมาจนถึงสมัยอยุธยา พุทธศาสนาจึงได้ฟื้นฟูขึ้นโดยมีการสร้างพระพุทธรูปศิลาทึบขนาดใหญ่จากหินที่เขานางเอ อยู่หลังสวนโมกข์ มีอยู่ประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ องค์
สำหรับคำว่า ไชยา นั้นน่าจะนำมาจากคำว่า ศรีวิชัย ซึ่งขุดพบศิลาจารึกพ.ศ.๑๓๑๘ ที่ระบุชื่อ พระยาศรีวิชัยนั้นว่า ศรีวิชเยนทรราชา,ศรีวิชเยศวรภูบดี และศรีวิชยนฤบดี ที่หมายถึง พระเจ้าแผ่นดินเมืองศรีวิชัย
นั่นหมายถึงศุนย์กลางอำนาจของพวกไศเรนทร(ราชาแห่งจอมเขา)อยู่ที่บริเวณเมืองไชยา ซึ่งเหมาะสมที่จะติดต่อกับอินเดียโดยเฉพาะที่เบ็งคอล และเป็นเหตุให้พระอวโลติเกศวรโพธิสัตว์ที่เป็นฝีมือของช่างแบบปาละแท้เดินทางมาประดิษฐานที่เมืองไชยาได้ โดยเฉพาะการติดต่อมหาวิทยาลัยนาลันทาซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยพุทธศาสนามหายานในเบ็งคอล จนมีความปรากฏในจารึกแผ่นทองแดงพบที่นาลันทาเมื่อพ.ส.๑๓๙๒ ว่า ด้วยการที่ไศเรนทรอุปถัมภ์มหาวิทยาลัยแห่งนั้นไปจากไชยา ในบริเวณเมืองไชยานั้นมีเขาน้ำร้อนเป็นภูเขาประจำวงศ์ไศเรนทรสำหรับใช้ประดิาฐานพระเป็นเจ้าตามลัทธิพราหมณ์ แม้จะมีการนับถือพุทธศาสนาแล้ว ก็ยังยึดถือเป็นประเพณีการอาบน้ำร้อนที่ออกมาจากพุบนเขานั้นถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีการจัดทำสระน้ำสำหรับอาบของพระราชาตามประเพณีของอินเดีย เรื่องนี้หากรวมไปถึงบริเวณเขานางเอ แล้วจะพบว่าหน้าถ้ำนั้นมีสระบัวขนาดใหญ่สองสระ น่าจะมีบริเวณที่เหมาะสมให้ราชาแห่งไศเรนทรสร้างวังประทับร้อนอยู่บนเนินที่เขานี้ เพราะมองเห็นสระน้ำได้สวยงาม และหากจะทิ้งทองประจำวันลงสระตามตำนานราชาแห่งซาบากก็ทำได้
เมืองไชยาโบราณนี้เดิมเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่กว่าเมืองตามพรลิงค์(เมืองนครศรีธรรมราช)ซึ่งมีชุมชนเมืองเก่า และสร้างเจดีย์พระบรมธาตุไชยา เจดีย์ที่วัดแก้ว เจดีย์ที่วัดเวียง เจดีย์ที่วัดหลง และพระอวโลกติเกศวรอย่างชวาอยู่จำนวนมากโดยเฉพาะพระอวโลกิเตศวรขนาดเท่าคนที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดี เส้นทางติดต่อนั้นมีแม่น้ำหลวง(แม่น้ำตาปี)ไหลผ่าน เมื่อสำรวจเส้นทางน้ำพบว่าไปได้ถึงคีรีรัฐซึ่งมีทางข้ามไปลงที่แม่น้ำตะกั่วป่าได้อย่างสบาย น่าจะเป็นเส้นทางเดินของชาวอินเดียทางหนึ่ง สำหรับเมืองตามพรลิงค์นั้นมีพระมหาธาตุองค์เดียว เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นในสมัยหลัง และมีหาดทรายแก้วกับลุ่มแม่น้ำน้อย ประการสำคัญอ่าวบ้านดอนนั้นเป็นแหล่งที่เรือสินค้าจากจีนใช้เป็นท่าจอดเรือในสมัยโบราณได้ และรอบอ่าวบ้านดอนนั้นก็เป็นแหล่งเกษตรกรรมสำคัญ ในจารึกพ.ศ.๑๗๗๓ ระบุว่า พระเจ้าจันทภาณุยังมีอำนาจอยู่เหนือดินแดนรอบอ่านบ้านดอน
สำหรับเมืองครหินั้นน่าจะอยู่แถวใต้เขมรลงมาทางญวน หรือแถวคอคอดกระ
พุทธศาสนาแบบมหายานเจริญรุ่งเรืองในอาณาจักรศรีวิชัย หลวงจีนอี้จิง เคยเดินทางจากเมืองกวางตุ้งประเทศจีนทางเรือของอาหรับผ่านฟูนัน มาพักที่อาณาจักรศรีวิชัยนี้ ในเดือน ๑๑ พ.ศ. ๑๒๑๔ เป็นเวลาสองเดือน ก่อนที่จะเดินทางต่อผ่านเมืองไทรบุรี ผ่านหมู่เกาะคนเปลือยนิโคบาร์ ถึงเมืองท่าตามรลิปติที่อินเดีย เพื่อสืบพระพุทธศาสนา หลวงจีนอี้จิงบันทึกไว้ว่า ประชาชนทางใต้ของแหลมมลายูส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งได้อิทธิพลมาจากพ่อค้ามุสลิมอาหรับ ที่เดินทางผ่านเพื่อไปยังประเทศจีน ศาสนาอิสลามได้เผยแผ่ไปยัง มะละกา กลันตัน ตรังกานู ปาหัง และปัตตานีจนกลายเป็นรัฐอิสลามไป
ต่อมาในพ.ศ.๑๕๖๘(ค.ศ. 1025) อาณาจักรศรีวิชัยถูกอาณาจักรโจฬะ จากอินเดียตะวันออกเฉียงใต้ ยกทัพเรือเข้าโจมตีทำให้อ่อนกำลังลง หลังจากนั้นในพ.ส.๑๙๔๐ อาณาจักรศรีวิชัยได้ตกอยู่ใต้อำนาจของอาณาจักรมัชปาหิต ที่มีอำนาจจากชวา
อาณาจักรสุโขทัยในสมัยพ่อขุนรามคำแหงนั้นได้แผ่อำนาจลงมายังหัวเมืองต่างๆตลอดแหลมมาลายู และมีเมืองนครศรีธรรมราช เป็นเมืองสำคัญที่คอยดูแลหัวเมืองทางใต้
(พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๘)
เมื่ออาณาจักรฟูนันล่มสลายลงในพุทธศตวรรษที่ ๑๑ นั้น ดินแดนทางแหลมทองได้เกิดการตั้งอาณาจักรศรีวิชัย (จีนเรียก ชิลิโฟชิ หรือ คันโทลี หรือโคยิง) ขึ้นภายใต้การนำของราชวงศ์ ไศเลนทร์ มีอาณาเขตครอบคลุมแหลมมลายู เกาะชวา เกาะสุมาตรา ช่องแคบมะละกา ช่องแคบซุนดา และบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย ทำให้อาณาจักรศรีวิชัยสามารถควบคุมเส้นทางค้าขายระหว่างจีนกับอินเดียรวมทั้งอาหรับ เปอร์เซีย และยุโรปได้
อาณาจักรศรีวิชัยนี้มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองปาเล็มบังในเกาะสุมาตราของ อินโดนีเซียขึ้นมาถึงบริเวณแหลมโพธิ์ ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และเมืองท่า(ตามพรลิงค์หรือตำพะลิงค์)ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช มีการพบศิลาจารึกภาษามาเลย์เกี่ยวกับอาณาจักรศรีวิชัยนี้ที่วัดเสมาเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วน เมืองครหิ ในสมัยศรีวิชัยนั้นเป็นเมืองท่าค้าพริก ดีปลีและพริกไทยเม็ด โดยมีต้นหมากต้นมะพร้าวอยู่มาก แต่ก็ยังมีความเชื่ออยู่ว่าเมืองครหินั้นไม่น่าจะใช่เมืองไชยา กล่าวคือ ในหนังสือจู ฝาน จีน ของจีนเจา จู เกวาะ ได้ระบุชื่อเมืองต่างๆที่ขึ้นแก่อาณาจักรซัมฮุดซี หรือชาวกะ มีชื่อเมืองเกียโลหิ ซึ่งยุติชื่อว่าเป็นเมืองครหิ ตรงกับคำที่จารึก(ภาษาเขมร)ครหิที่อยู่บนฐานพระพุทธรูปนาคปรกสำริดองค์ใหญ่ ซึ่งพบอยู่ใกล้วัดเวียง เมืองไชยา ซึ่งเป็นสถานที่แห่งเดียวที่สุมาตราที่สั่งขึ้นมาให้อำมาตย์คลาไน ผู้ครองเมืองครหิจัดการหล่อขึ้นเมื่อพ.ศ.๑๗๒๖ ตรงกับมหาศักราช ๑๑๐๕ จึงมีข้อถกเถียงถึงว่า ครหิ นั้นเป็นการแสดงอำนาจทางเขมรหรือเกาะสุมาตรา ซึ่งน่าจะเป็น ครหิ ที่เกิดขึ้นหลังจาก อาณาจักรศรีวิชัยล่มสลายลงแล้วหรือไปขึ้นอยู่กับเมืองตามพรลิงค์ในพ.ศ.๑๗๐๐ ดังนั้นเมืองไชยานั้นคงจะไม่ใช่เมืองครหิและน่าจะเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยเสียมากกว่าเมืองปาเล็มบัง
เมืองไชยานั้น ได้มีการสร้างเจดีย์แบบมหายาน ให้องค์เจดีย์เป็นรูปสีขระ แปลว่า แบบภูเขา คือเจดีย์ที่มียอดจำนวนมาก ตามคติให้มีพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ เช่น พระพุทธเจ้าพุทธะ พระมัญชุศรี พุทธะ พระญาณิพุทธะ เป็นต้น ซึ่งตรงกับเรื่องราวที่ว่า พระเจ้ากรุงศรีวิชัยให้สร้างไอษฎิเคหะ คือ เรือนอิฐหรือปราสาทอิฐขึ้น ๓ หลัง สำหรับประดิษฐานพระปฏิมาของ ปัทมปาณี วัชรปาณี และมารวิชัย ในพื้นที่เมืองไชยาแห่งนี้ พบว่านอกจากจะสร้างเจดีย์ที่พระบรมธาตุแห่งนี้แล้วยังมี เจดีย์ที่วัดแก้ว ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าแต่ชำรุด และเจดีย์ที่วัดหลง เดิมนั้นเหลือแต่ฐานที่อิฐที่มีลักษณะเดียวกัน พระบรมธาตุไชยาองค์ปัจจุบันนี้ได้รับการบูรณะใหม่ เดิมนั้นเป็นเจดีย์ตั้งอยู่บนอุโมงค์ที่บรรจุหีบศิลาใบใหญ่ใส่พระบรมธาตุและสิ่งของต่างๆ เดิมที่พื้นมีรูระบายอากาศขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ ซม ๒ แห่งต่อมาได้อุดเสีย ต่อมาแม่น้ำพาเอาดินมาถมบริเวณหมู่บ้านเวียงสูงประมาณ ๓ เมตรหรือ ๖ ศอก ส่วนพระเจดีย์นี้จมลงไปในดินประมาณเมตรครึ่ง ต้องขุดแต่งกัน เมืองครหิแห่งนี้หลังจากอาณาจักรศรีวิชัยหมดอำนาจลงก็ถูกทิ้งร้างมาจนถึงสมัยอยุธยา พุทธศาสนาจึงได้ฟื้นฟูขึ้นโดยมีการสร้างพระพุทธรูปศิลาทึบขนาดใหญ่จากหินที่เขานางเอ อยู่หลังสวนโมกข์ มีอยู่ประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ องค์
สำหรับคำว่า ไชยา นั้นน่าจะนำมาจากคำว่า ศรีวิชัย ซึ่งขุดพบศิลาจารึกพ.ศ.๑๓๑๘ ที่ระบุชื่อ พระยาศรีวิชัยนั้นว่า ศรีวิชเยนทรราชา,ศรีวิชเยศวรภูบดี และศรีวิชยนฤบดี ที่หมายถึง พระเจ้าแผ่นดินเมืองศรีวิชัย
นั่นหมายถึงศุนย์กลางอำนาจของพวกไศเรนทร(ราชาแห่งจอมเขา)อยู่ที่บริเวณเมืองไชยา ซึ่งเหมาะสมที่จะติดต่อกับอินเดียโดยเฉพาะที่เบ็งคอล และเป็นเหตุให้พระอวโลติเกศวรโพธิสัตว์ที่เป็นฝีมือของช่างแบบปาละแท้เดินทางมาประดิษฐานที่เมืองไชยาได้ โดยเฉพาะการติดต่อมหาวิทยาลัยนาลันทาซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยพุทธศาสนามหายานในเบ็งคอล จนมีความปรากฏในจารึกแผ่นทองแดงพบที่นาลันทาเมื่อพ.ส.๑๓๙๒ ว่า ด้วยการที่ไศเรนทรอุปถัมภ์มหาวิทยาลัยแห่งนั้นไปจากไชยา ในบริเวณเมืองไชยานั้นมีเขาน้ำร้อนเป็นภูเขาประจำวงศ์ไศเรนทรสำหรับใช้ประดิาฐานพระเป็นเจ้าตามลัทธิพราหมณ์ แม้จะมีการนับถือพุทธศาสนาแล้ว ก็ยังยึดถือเป็นประเพณีการอาบน้ำร้อนที่ออกมาจากพุบนเขานั้นถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีการจัดทำสระน้ำสำหรับอาบของพระราชาตามประเพณีของอินเดีย เรื่องนี้หากรวมไปถึงบริเวณเขานางเอ แล้วจะพบว่าหน้าถ้ำนั้นมีสระบัวขนาดใหญ่สองสระ น่าจะมีบริเวณที่เหมาะสมให้ราชาแห่งไศเรนทรสร้างวังประทับร้อนอยู่บนเนินที่เขานี้ เพราะมองเห็นสระน้ำได้สวยงาม และหากจะทิ้งทองประจำวันลงสระตามตำนานราชาแห่งซาบากก็ทำได้
เมืองไชยาโบราณนี้เดิมเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่กว่าเมืองตามพรลิงค์(เมืองนครศรีธรรมราช)ซึ่งมีชุมชนเมืองเก่า และสร้างเจดีย์พระบรมธาตุไชยา เจดีย์ที่วัดแก้ว เจดีย์ที่วัดเวียง เจดีย์ที่วัดหลง และพระอวโลกติเกศวรอย่างชวาอยู่จำนวนมากโดยเฉพาะพระอวโลกิเตศวรขนาดเท่าคนที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดี เส้นทางติดต่อนั้นมีแม่น้ำหลวง(แม่น้ำตาปี)ไหลผ่าน เมื่อสำรวจเส้นทางน้ำพบว่าไปได้ถึงคีรีรัฐซึ่งมีทางข้ามไปลงที่แม่น้ำตะกั่วป่าได้อย่างสบาย น่าจะเป็นเส้นทางเดินของชาวอินเดียทางหนึ่ง สำหรับเมืองตามพรลิงค์นั้นมีพระมหาธาตุองค์เดียว เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นในสมัยหลัง และมีหาดทรายแก้วกับลุ่มแม่น้ำน้อย ประการสำคัญอ่าวบ้านดอนนั้นเป็นแหล่งที่เรือสินค้าจากจีนใช้เป็นท่าจอดเรือในสมัยโบราณได้ และรอบอ่าวบ้านดอนนั้นก็เป็นแหล่งเกษตรกรรมสำคัญ ในจารึกพ.ศ.๑๗๗๓ ระบุว่า พระเจ้าจันทภาณุยังมีอำนาจอยู่เหนือดินแดนรอบอ่านบ้านดอน
สำหรับเมืองครหินั้นน่าจะอยู่แถวใต้เขมรลงมาทางญวน หรือแถวคอคอดกระ
พุทธศาสนาแบบมหายานเจริญรุ่งเรืองในอาณาจักรศรีวิชัย หลวงจีนอี้จิง เคยเดินทางจากเมืองกวางตุ้งประเทศจีนทางเรือของอาหรับผ่านฟูนัน มาพักที่อาณาจักรศรีวิชัยนี้ ในเดือน ๑๑ พ.ศ. ๑๒๑๔ เป็นเวลาสองเดือน ก่อนที่จะเดินทางต่อผ่านเมืองไทรบุรี ผ่านหมู่เกาะคนเปลือยนิโคบาร์ ถึงเมืองท่าตามรลิปติที่อินเดีย เพื่อสืบพระพุทธศาสนา หลวงจีนอี้จิงบันทึกไว้ว่า ประชาชนทางใต้ของแหลมมลายูส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งได้อิทธิพลมาจากพ่อค้ามุสลิมอาหรับ ที่เดินทางผ่านเพื่อไปยังประเทศจีน ศาสนาอิสลามได้เผยแผ่ไปยัง มะละกา กลันตัน ตรังกานู ปาหัง และปัตตานีจนกลายเป็นรัฐอิสลามไป
ต่อมาในพ.ศ.๑๕๖๘(ค.ศ. 1025) อาณาจักรศรีวิชัยถูกอาณาจักรโจฬะ จากอินเดียตะวันออกเฉียงใต้ ยกทัพเรือเข้าโจมตีทำให้อ่อนกำลังลง หลังจากนั้นในพ.ส.๑๙๔๐ อาณาจักรศรีวิชัยได้ตกอยู่ใต้อำนาจของอาณาจักรมัชปาหิต ที่มีอำนาจจากชวา
อาณาจักรสุโขทัยในสมัยพ่อขุนรามคำแหงนั้นได้แผ่อำนาจลงมายังหัวเมืองต่างๆตลอดแหลมมาลายู และมีเมืองนครศรีธรรมราช เป็นเมืองสำคัญที่คอยดูแลหัวเมืองทางใต้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)